ปางภัตตกิจ

   

ลักษณะพุทธรูป
        พระพุทธรูปปางนี้  อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิพระหัตถ์ซ้ายประคองบาตร  ซึ่งวางอยู่บนพระเพลา  พระหัตถ์ขวาหย่อนลงในบาตร  เป็นกิริยาเสวย


ประวัติความเป็นมา
        สมัยนั้น  มีมาณพคนหนึ่งชื่อ ยสะ  เป็นบุตรชายของเศรษฐีในเมืองพาราณสีกับนางสุชาดา  เป็นที่รักใคร่ของพ่อแม่  พ่อแม่ก็ทะนุถนอมอย่างแก้วตา  มีชีวิตการเป็นอยู่คล้ายคลึงกับที่พระสิทธัตถโคตมะ  คือพ่อแม่ได้ปลูกเรือนให้ ๓ ฤดูกล่าวคือ  มีความสุขสบายที่สุด  มีปราสาท ๓ หลังเป็นที่อยู่ใน  ๓  ฤดู  ได้รับการเรอด้วยดนตรีล้วนแต่สตรีประโคมไม่มีบุรุษเจือปน  ค่ำวันหนึ่ง  ยสกุลบุตรนอนหลับก่อน  หมู่ชนบริวารหลับต่อภายหลัง  แสงไฟยังตามสว่างอยู่  ยสกุลบุตรตื่นขึ้นกลางดึก  เห็นหมู่ชนบริวารกำลังนอนหลับ  มีอากัปกิริยาพิกลต่างๆ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความยินดีเหมือนเมื่อก่อน  คือ  บางนางมีพิณตกอยู่ที่รักแร้  บางนางมีตะโพนวางอยู่ที่คอบางนางมีเปิงมางตกอยู่ที่อก  บางนางสยายผม  บางนางมีเขฬะไหลบางนางบ่นละเมอต่างๆ หมู่ชนบริวารเหล่านั้นปรากฏแก่ยสกุลบุตรดุจซากศพที่ทิ้งอยู่ในป่าช้า  ครั้นยสกุลบุตรได้เห็นแล้วก็เกิดความสลดใจคิดเบื่อหน่ายมากถึงกับออกอุทานว่า “ที่นี่วุ่นวายหนอ  ที่นี่ขัดข้องหนอ”ทนดูอากัปกิริยาพิกลต่างๆ นั้นไม่ได้  รำคาญใจ  จึงสวมรองเท้าเดินออกจากประตูเมืองไป  ตรงไปทางที่จะไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวันโดยไม่รู้สึกตัวเองว่าไปถึงไหน  แต่ก็รู้สึกสบายใจ  ก็เดินเรื่อยไปไม่หยุด
    ในเวลานั้นจวนใกล้รุ่ง  พระบรมศาสดาเสด็จจงกรมอยู่ในที่แจ้ง  ทรงได้ยินเสียงยสกุลบุตร  ออกอุทานเช่นนั้น  เดินมายังที่ใกล้  จึงตรัสเรียกยสกุลบัตรว่า  “ยสะที่นี่ไม่วุ่นวายที่นี่ไม่ขัดข้อง  ท่านจงมาที่นี่เถิด  นั่งลงเถิด เราจักแสดงธรรมให้ฟัง”  ยสกุลบุตรได้ยินเช่นนั้นคิดว่าได้ยินว่า  “ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง”  มีความพอใจ  จึงถอดรองเท้าเข้าไปใกล้ถวายบังคมแล้วนั่ง  ณ  ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง  พระบรมศาสดาทรงตรัสอนุปุพพิกถาเทศนา  คือ  ถ้อยคำที่กล่าวโดยลำดับ ได้แก่การพรรณนาทานกถาการให้ก่อนแล้ว  พรรณนาศีล  ความรักษากายวาจาให้เรียบร้อยเป็นลำดับแห่งทาน  พรรณนาสวรรค์  พรรณนาโทษของกามคุณ  ที่บุคคลใคร่ซึ่งความสุขไม่ยั่งยืน  และพรรณนาอานิสงส์  แห่งการออกจากกาม อันเป็นลำดับแห่งโทษของกามเรียกว่าเนกขัมมะ  ฟอกจิต  ของยสกุลบุตรให้ปราศจากมลทินให้เป็นจิตสมควรรับธรรมเทศนา  ให้เกิดดวงตาเห็นธรรมเหมือนผ้าที่ปราศจากมลทินควรแก่การได้รับน้ำย้อมฉะนั้น  แล้วทรงแสดงอริยสัจ ๔  คือ  ทุกข์  สมุทัย  นิโรธ  และมรรค  เมื่อจบพระธรรมเทศนา  ยสกุลบุตรได้ดวงตาเห็นธรรมพิเศษเป็นโสดาบันบุคคล  ครั้นภายหลังพิจารณาภูมิธรรมที่พระบรมศาสดาตรัสสอนเศรษฐีผู้เป็นบิดาอีกวาระหนึ่ง  จิตก็พ้นจากอาสวะไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน
    ฝ่ายมารดาของยสกุลบุตร  ขึ้นไปบนเรือนในเวลาเช้าไม้เห็นลูกชายจึงบอกกับท่านเศรษฐีผู้สามีให้ทราบ  ท่านเศรษฐีใช้ให้คนไปตามหาทั้ง  ๔  ทิศ  ส่วนตนเองก็ออกเที่ยวหาด้วยบังเอิญเดินไปในทางที่จะไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน  ได้เห็นรองเท้าของลูกชายตั้งอยู่  ณ  ที่นั้นแล้วตามเข้าไป  ครั้นเศรษฐีเข้าไปถึงแล้ว  พระบรมศาสดาได้ตรัสอนุปุพพีกถาเทศนาอริยสัจ  ๔ ให้เศรษฐีได้เห็นธรรมแล้ว  เศรษฐีทูลสรรเสริญธรรมเทศนาแล้วแสดงตนเป็นอุบาสกว่า  “ข้าพเจ้าถึงพระองค์กับพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์เป็นสรณะที่พึงระลึกที่นับถือ  ขอพระองค์จงทรงจำข้าพเจ้า  ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต  ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป”
    เศรษฐีเมืองพาราณสีนั้นได้เป็นอุบาสก  อ้างพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  ครบทั้ง  ๓  เป็นสรณะ  ก่อนกว่าชนทั้งปวงในโลก  ท่านเศรษฐีผู้บิดายังไม่ทราบว่า  ยสกุลบุตรมีอาสวะสิ้นแล้วจึงบอกความว่า  “พ่อยสะ  มานดาของเจ้า  เศร้าโศกพิไรรำพัน  เจ้าจงให้ชีวิตแก่มารดาของเจ้าเถิด”  ยสกุลบุตรแลดูพระบรมศาสดา  พระบรมศาสดาจึงตรัสแก่เศรษฐีให้ทราบ  “ยสกุลบุตร  ได้บรรลุพระอรหันต์แล้วไม่ใช่ผู้ควรจะกลับคืนไปครองฆราวาสอีก”
    เศรษฐีทูลสรรเสริญว่า  “เป็นลาภของยสกุลบุตรแล้ว”  และทูลอาราธนาพระบรมศาสดา  กับยสกุลบุตรเป็นผู้ติดตามเสด็จ  เพื่อทรงรับภัตตาหารในเช้าวันนั้น  ครั้นเศรษฐีทราบว่า  พระบรมศาสดาทรงรับด้วยพระอาการดุษณีภาพแล้วก็ลุกจากที่นั่งแล้วถวายอภิวาท  ทำประทักษิณ  (คือเดินเวียนขวา) ๓ รอบ  แล้วหลีกไปยังเรือนแห่งตน  และแจ้งเรื่องทั้งหมดให้ภรรยาและสะใภ้ได้ทราบ  พร้อมกับจัดอาหารบิณฑบาตเช้า  เพื่อถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเมื่อเศรษฐีผู้บิดาทูลลาพระบรมศาสดากลับไปไม่ช้า ยสกุลบุตรจึงทูลขออุปสมบท  พระบรมศาสดาทรงอนุญาตประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาให้อุปสมบทด้วยพระวาจาว่า  “เอหิภิกขุ  ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด  ธรรมเรากล่าวดีแล้ว  ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด”  เช่นเดียวกับที่ทรงประทานแก่ปัญจวัคคีย์แต่ในที่นี้ไม่ได้ตรัสว่า “เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ”  เพราะพระยสะได้ถึงที่สุดทุกข์แล้ว  คือเป็นพระอรหันต์เสียก่อนแล้วสมัยนั้น  ได้มีพระอรหันต์ขึ้นในโลกเป็น ๗ ทั้งพระยสะ
    ในเวลาเช้าวันนั้น พระบรมศาสดากับพระยสะตามเสด็จ  เสด็จไปถึงเรือนเศรษฐีนั้นแล้ว  ทรงประทับนั่ง ณ อาสนะที่เขาแต่งไว้ถวาย  มารดาและภรรยาเก่าของพระยสะเข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ทรงแสดงอนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔ โปรดให้สตรีทั้ง  ๒  นั้นบรรลุพระโสดาปัตติผลได้เห็นดวงธรรม  สตรีทั้ง  ๒  นั้น  จึงทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนา  แล้วแสดงตนเป็นอุบาสิกาถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิตโดยนัยหลังต่างแต่เป็นผู้ชายเรียกว่า  “อุบาสก”  เป็นผู้หญิงเรียกว่า “อุบาสิกา”  เท่านั้น  สตรีทั้ง  ๒ นั้นได้เป็นอุบาสิกาคนแรกในโลก  คือเป็นอุบาสิกาก่อนกว่าหญิงอื่นในโลก
    ครั้นถึงเวลา  มารดาบิดาและภรรยาเก่าของพระยสะ  ได้น้อมนำเอาอาหารอันประณีตเข้าไปอังคาสพระบรมศาสดาและพระยสะ  คือ  ถวายของเคี้ยวของฉันอันประณีตโดยเคารพด้วยมือของตน  พระบรมศาสดาทรงรับอาหาราบิณฑบาตด้วยบาตร  และทรงทำภัตตกิจ  คือ  ฉันอาหารบิณฑบาตแล้วตรัสพระธรรมเทศนาสั่งสอนชนทั้ง  ๓  ให้เห็น  ให้สมาทาน  ให้อาจหาญ  ให้ร่าเริงในธรรมแล้วเสด็จกลับไปป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
    พระพุทธจริยาที่ทรงทำภัตตกิจฉันอาหารบิณฑบาตครั้งนี้เป็นภัตตกิจที่ทรงทำครั้งแรกในบ้าน  เป็นนิมิตมงคลอันดีสำหรับผู้นับถือพระพุทธศาสนา  ที่มีความพอใจในการทำบุญบำเพ็ญกุศลทานทั่วไปทั้งเป็นแบบอย่างให้มีการทำบุญเลี้ยงพระฟังเทศน์ในบ้านสืบมาจนทุกวันนี้  ข้อนี้เป็นเหตุให้สร้างพระพุทธรูปที่เรียกว่า “ปางภัตตกิจ”

โครงการ KM หอพุทธศิลป์ © สงวนลิขสิทธ์โดยมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น
๓๐ หมู่ที่ ๑ บ้านโคกสี ถ.ขอนแก่น-น้ำพอง ต.โคกสี อ.เมือง จ.ขอนแก่น โทร.๐๔๓-๒๘๓๕๔๖-๗
เริ่ม ๑ กันยายน ๒๕๕๓ ปรับปรุงล่าสุด ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๘, ปรับปรุงโดย นายบูชิตร์ โมฆรัตน์